สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ซื้อซ้ำ ยอดโต ด้วย 6 กลยุทธ์นี้

รวมเนื้อหาที่น่าสนใจ

สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ง่ายๆ อ่านจบทำตามได้จริง!

สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่ง ไม่ได้ยากอย่างที่คิด หลายธุรกิจมักมองข้ามการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ขาดการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า แต่รู้หรือไม่ว่านี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การรักษาลูกค้าและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ บอกต่อ ทำให้ยอดขายโตได้ในระยะยาว และยิ่งไปกว่านั้นการรักษาความสัมพันธ์ด้วยนี้ยังสามารถเพิ่มความภักดีให้กับแบรนด์ของเราได้อีกด้วย

ในบทความนี้เราจะมาเปิดเผยกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าง่ายๆ จากประสบการณ์จริงของผู้เชี่ยวชาญที่รับทำการตลาดออนไลน์มาอย่างยาวนาน โดยเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน เพียงแค่ทำตามกลยุทธ์เหล่านี้ ก็จะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างแข็งแกร่ง ตามไปอ่านกันต่อได้เลย!

การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าสำคัญกว่าที่คุณคิด!

หลายคนอาจมองว่าการหาลูกค้าใหม่คือหัวใจสำคัญของการเติบโตของธุรกิจ แต่จริงๆ แล้ว การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่งเพื่อรักษาลูกค้าเก่าก็สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ

 

1. ลูกค้าเก่าพร้อมจ่ายมากกว่า

ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อสินค้า/บริการไปแล้วจะมีความคุ้นเคยกับแบรนด์ เชื่อมั่นในสินค้า/บริการ และมักจะเปิดใจกับสินค้าใหม่ๆ หรือข้อเสนอพิเศษมากกว่าลูกค้าใหม่

 

2. เพิ่มแนวโน้มในการบอกต่อและแนะนำแบรนด์

ลูกค้าเก่าคือกระบอกเสียงที่ดีที่สุด เพราะความพึงพอใจของพวกเขาจะนำไปสู่การบอกต่อแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า Word-of-Mouth Marketing ซึ่งเป็นการตลาดที่ทรงพลังและน่าเชื่อถือที่สุด

 

3. ความภักดีของลูกค้าเก่านำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

การรักษาลูกค้าเก่า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้ง จะทำให้เกิดรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง และลูกค้าเก่าก็จะเกิดความภักดีและเปิดใจลองสินค้าใหม่ๆ หรือซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นได้ง่าย

 

4. ต้นทุนการรักษาลูกค้าเก่าต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่

กลยุทธ์การรักษาลูกค้าไว้ทั้งง่ายและประหยัดกว่าการหาลูกค้าใหม่มาทดแทน ทั้งค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการขายที่ลดลง อีกทั้งยังมีอัตราการแปลงลูกค้าที่สูงขึ้น เพราะพวกเขามีความคุ้นเคยและเชื่อมั่นในแบรนด์อยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสตัดสินใจซื้อซ้ำได้ง่ายกว่าลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก

เข้าใจปัจจัยและเหตุผล “อะไรทำให้ลูกค้าเลือกซื้อซ้ำ”

การที่ลูกค้าตัดสินใจกลับมาซื้อซ้ำคือหัวใจสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และอีกหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความมั่นใจ รวมถึงความพึงพอใจต่อแบรนด์ ซึ่งสามารถสรุปเป็นเหตุผลหลักๆ ได้ดังนี้

 

– คุณภาพสินค้าและบริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

– สินค้าและบริการคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย

– ประสบการณ์การซื้อที่ประทับใจ สะดวก รวดเร็ว

–  มีบริการหลังการขายที่ดี เช่น การรับประกันสินค้า, ช่วยเหลือเมื่อลูกค้าพบปัญหา

– ความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ

– แบรนด์มีการพัฒนาสินค้าที่ตรงใจพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

 

โดยรวมแล้วลูกค้าจะเลือกซื้อซ้ำก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนเองได้รับประสบการณ์ที่ดีและมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นจากคุณภาพสินค้า บริการที่เป็นเลิศ หรือความสัมพันธ์ที่แบรนด์สร้างขึ้นให้กับพวกเขา หรือเราจะสรุปได้ว่า “ประสบการณ์และความรู้สึก” เป็นเหตุผลหลักๆ ที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ในระยะยาวนั่นเอง

 

6 กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แข็งแกร่ง

การขายครั้งเดียวอาจไม่ยาก แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำนี่แหละคือสิ่งที่มาท้าทายการทำธุรกิจในปัจจุบัน เพราะลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่สินค้า แต่ต้องการความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นจากการซื้อสินค้าและบริการกับแบรนด์ของเรา อย่าปล่อยให้ลูกค้ามาซื้อแค่ครั้งเดียวแล้วก็จากไป มาเรียนรู้กลยุทธ์การรักษาลูกค้าเพื่อสร้าง “ความผูกพัน” กับลูกค้าให้แน่นแฟ้น จนพวกเขากลายเป็นลูกค้าประจำของแบรนด์กันได้เลย

1. เก็บข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

การจะสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสซื้อซ้ำต้องเริ่มจาก “การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า” ผ่านการเก็บข้อมูล Customer Insight และวิเคราะห์อย่างแม่นยำ โดยข้อมูลที่ได้มาจะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการ ความชอบ และปัญหาของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เราสามารถนำเสนอสิ่งที่ตอบโจทย์และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาได้ ซึ่งตัวอย่างของการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น

 

ข้อมูลการซื้อและการทำธุรกรรม

– ข้อมูลจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ: เก็บรวบรวมข้อมูลการเข้าชมสินค้า การใส่สินค้าในตะกร้า การสั่งซื้อ และพฤติกรรมการชำระเงิน

– ข้อมูลจากระบบ POS (Point of Sale): เก็บรวบรวมข้อมูลการซื้อสินค้า วันที่ เวลา สินค้าที่ซื้อ จำนวน ราคา และวิธีการชำระเงิน

– ข้อมูลจากระบบ CRM (Customer Relationship Management): บันทึกประวัติการสั่งซื้อ การสอบถาม การเคลม และการติดต่อต่างๆ ของลูกค้า

 

ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

– ข้อมูลจาก Google Analytics: ติดตามพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจ เช่น หน้าที่เข้าชม ระยะเวลาที่อยู่บนหน้าเว็บ แหล่งที่มาของการเข้าชม และเส้นทางการเข้าชม

– ข้อมูลจากเครื่องมือติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ (User Behavior Analytics Tools): เช่น Hotjar, Mixpanel, Amplitude ช่วยบันทึกการคลิก การเลื่อนหน้าจอ และการโต้ตอบกับองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

 

ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย

– ข้อมูลจาก Facebook Insights, Twitter Analytics, Instagram Insights ที่จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลประชากร ความสนใจ และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย

– ข้อมูลจากเครื่องมือ Social Listening ต่างๆ ที่ช่วยติดตามการกล่าวถึงแบรนด์ ความคิดเห็น และแนวโน้มที่เกี่ยวข้อง 

 

ข้อมูลจากการสื่อสารกับลูกค้า

– ข้อมูลจากบันทึกการสนทนา: จากการโทรศัพท์ อีเมล แชท หรือการติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ

– ข้อมูลจากแบบสำรวจความคิดเห็นลูกค้า

 

ข้อมูลจาก Loyalty Programs

– ข้อมูลจากการเก็บรวบรวมข้อมูลการเข้าร่วม Loyalty Programs การสะสมแต้ม การแลกของรางวัล และพฤติกรรมการใช้สิทธิพิเศษต่างๆ

2. มอบประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นเลิศ

เราจะต้องสร้างความประทับใจตั้งแต่การให้บริการก่อนซื้อ ระหว่างซื้อ จนถึงหลังการขาย เน้นความใส่ใจ รวดเร็ว และเป็นมืออาชีพ เพราะการมอบ Customer Experience ที่ยอดเยี่ยมเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว เพราะเมื่อลูกค้าที่มีประสบการณ์ที่ดีก็จะกลับมาซื้อซ้ำ, แนะนำต่อ และเกิดความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น 

 

โดยการมอบประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นเลิศสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น

 

– ตอบคำถามหรือตอบกลับลูกค้าอย่างรวดเร็ว

– แก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

– ให้บริการที่เป็นมิตรและเอาใจใส่

– มอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าทุกกระบวนการ

– ลดขั้นตอนยุ่งยาก  เช่น สร้างการชำระเงินและการขนส่งที่สะดวกสบาย

– มีบริการหลังการขายที่น่าประทับใจ 

3. สร้างความรู้สึกพิเศษด้วย Loyalty Programs

สร้างความประทับใจมากขึ้นด้วยการออกแบบ Loyalty Programs เป็นกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยใช้โปรแกรมสะสมแต้มและสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อสร้างความภักดี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่า เชื่อมโยงกับแบรนด์ และสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับแบรนด์มากขึ้น ยิ่งลูกค้ารู้สึกพิเศษ ก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำและภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

 

ตัวอย่าง Loyalty Programs เช่น

 

– ระบบสะสมแต้ม : ได้รับคะแนนสะสมจากทุกการซื้อและสามารถนำมาแลกของรางวัลหรือส่วนลด

– ระบบสมาชิกแบบ Tier : ยิ่งซื้อเยอะ ยิ่งได้รับสิทธิพิเศษที่มากขึ้น

– โปรแกรมแนะนำเพื่อน : ได้รับรางวัลเมื่อแนะนำเพื่อนมาซื้อสินค้า

– สมัครสมาชิกเพื่อรับสิทธิพิเศษ: จ่ายค่าสมาชิกเพื่อรับสิทธิประโยชน์ เช่น ส่วนลดพิเศษ หรือของแถมรายเดือน

– Surprise & Delight ให้รางวัลแบบไม่คาดคิด ส่งของขวัญหรือโปรโมชันพิเศษให้ลูกค้าโดยไม่ต้องสะสมแต้ม 

4. สื่อสารอย่างสม่ำเสมอและตรงใจแบบ Personalized

สร้างการสื่อสารที่ตอบโจทย์ความสนใจและทำการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกใส่ใจ รู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับพวกเขา ไม่ใช่แค่ต้องการขายของ เพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำหากได้รับข้อความที่ตรงกับความต้องการ และช่วยทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์และรู้สึกผูกพันมากขึ้น 

 

กลยุทธ์การรักษาลูกค้าด้วยการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและตรงใจแบบ Personalized เช่น 

 

– ​​ใช้ Data, AI และ Customer Insights เพื่อปรับแต่งการสื่อสารให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

– ส่งอีเมลแนะนำสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติการซื้อ

– เสนอโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะลูกค้าแต่ละกลุ่มตามประวัติการซื้อหรือความสนใจ

– ใช้ช่องทางการสื่อสารที่ลูกค้าชอบ เลือกช่องทางที่ลูกค้าใช้บ่อยที่สุดเพื่อส่งข้อความ

– ใช้แอปพลิเคชันส่งแจ้งเตือนหาลูกค้าที่ไม่ได้ออนไลน์หลายวัน

– ส่งข้อความเป็นระยะให้ลูกค้ารู้ว่าแบรนด์ยังอยู่ แต่ต้องไม่รบกวนจนเกินไป

– ใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสร้างความรู้สึกดีในการสนทนา

5. รับฟัง Feedback เพื่อนำมาปรับปรุง และพัฒนา

การรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าคือโอกาสสำคัญในการพัฒนา และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพราะลูกค้าต้องการรู้ว่า “เสียงของพวกเขามีค่า” และแบรนด์นำคำแนะนำของพวกเขาไปใช้จริง เราจึงต้องสร้างช่องทางให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็น และนำ Feedback (ที่ดี) มาปรับปรุงสินค้า บริการ รวมถึงกระบวนการทำงานให้พวกเขาประทับใจมากที่สุด

 

โดยวิธีการรับฟัง Feedback เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ได้แก่

 

– กระตุ้นให้ลูกค้ารีวิวและแชร์ประสบการณ์

– ทำแบบสำรวจความพึงพอใจ

– ติดตามความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย

– นำ Feedback มาปรับปรุงพัฒนาสินค้าและบริการ

– ตอบกลับรีวิวเชิงบวกและเชิงลบอย่างมืออาชีพ

6. สร้างคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงถึงความรู้สึกของลูกค้า

การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยการสร้างสรรค์ไอเดียคอนเทนต์ที่น่าสนใจ และการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงความรู้สึกของลูกค้า เป็นกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เน้นการ ‘สร้างความรู้สึกผูกพันทางอารมณ์’ และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูลสินค้าหรือโปรโมชั่น แต่เป็นการสร้างเรื่องราว ประสบการณ์ และมอบคุณค่าให้กับลูกค้าผ่านการสื่อสารและคอนเทนต์ที่ตรงใจ

 

วิธีการสร้างคอนเทนต์และสร้างการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงความรู้สึกของลูกค้า เช่น

 

– ใช้ Storytelling สร้างความผูกพัน ทำให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์
– สร้างคอนเทนต์ที่ให้คุณค่า ช่วยแก้ปัญหาลูกค้า ไม่ใช่แค่ขายของ
– ใช้ Social Media ให้เกิดการมีส่วนร่วม

– ใช้ Customer Persona กำหนดสไตล์ของคอนเทนต์

– ใช้ภาษาที่เป็นกันเองและตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

– เลือกโทนเสียงที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

– กระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมด้วย Engagement Content

– สร้าง Community เปิดพื้นที่ให้ลูกค้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แชร์ประสบการณ์ และพูดคุยกัน

แนะนำเครื่องมือที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ในปัจจุบันมีเครื่องมือและเทคโนโลยีอยู่มากมาย ที่ช่วยให้การบริหารและการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเราได้รวบรวมตัวอย่างมาให้ทุกคนแล้ว

 

1. ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

ช่วยจัดเก็บข้อมูลลูกค้า ประวัติการซื้อ พฤติกรรม และความสนใจ ทำให้ทีมขายและฝ่ายบริการลูกค้าติดตามลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เราสามารถใช้ข้อมูลมาปรับปรุงการสื่อสารและการตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อีกด้วย 

 

ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Salesforce, HubSpot CRM, Zoho CRM, Pipedrive, Freshsales

 

2. Email Marketing Automation

ช่วยสร้างและส่งอีเมลอัตโนมัติไปยังลูกค้าตามพฤติกรรมหรือช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างความผูกพัน และกระตุ้นการซื้อซ้ำ สามารถตั้งค่าอีเมลอัตโนมัติตามพฤติกรรมของลูกค้า (เช่น ส่งข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าที่เคยซื้อ) และมีฟีเจอร์ที่หลากหลาย

 

ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Mailchimp, Sendinblue, ActiveCampaign, GetResponse, Constant Contact

 

3. Social Media Management Tools

ช่วยบริหารจัดการ Social Media หลายแพลตฟอร์มในที่เดียว สามารถวิเคราะห์ข้อมูล Engagement เช่น ไลก์ คอมเมนต์ แชร์ได้ และยังตั้งเวลาโพสต์ล่วงหน้า และช่วยตอบแชทหรือคอมเมนต์อัตโนมัติได้อีกด้วย

 

ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Hootsuite, Buffer, Sprout Social, Meta Business Suite

 

4. Live Chat และ Chatbots

ให้การสนับสนุนลูกค้าแบบเรียลไทม์ ตอบคำถาม และแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านการสร้างความประทับใจและความสะดวกสบาย ช่วยลดภาระงานของทีม สามารถให้บริการลูกค้าอัตโนมัติได้ทุกวัน 24 ชั่วโมง และยังช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าผ่านแชทและแนะนำสินค้า/บริการได้อย่างแม่นยำ

 

ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Intercom, Zendesk Chat, Tawk.to, Drift, ManyChat (สำหรับ Facebook Messenger)

 

5.  Customer Feedback Tools

เครื่องมือรวบรวมความคิดเห็นและความพึงพอใจของลูกค้า วิเคราะห์แนวโน้มความพึงพอใจของลูกค้า  เพื่อนำมาปรับปรุงสินค้า บริการ และประสบการณ์ลูกค้า สู่การวางกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ได้อย่างตรงจุด

 

ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Google Forms, SurveyMonkey, Typeform, Qualtrics, GetFeedback

 

5.  Loyalty Program Platforms

ช่วยในการสร้างโปรแกรมสะสมแต้ม/สมาชิก เพื่อเพิ่มความภักดีของลูกค้า จัดการโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าขาประจำ และยังสามารถส่ง Personalized Rewards ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้อีกด้วย

 

ตัวอย่างเครื่องมือ เช่น Smile.io, LoyaltyLion, Annex Cloud, Stamp Loyalty

ตัวอย่างกลยุทธ์ของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการรักษาลูกค้า

เคยสงสัยไหม ทำไมบางแบรนด์มีลูกค้าประจำเยอะ?  ความลับอยู่ที่ “การสร้างความสัมพันธ์” ที่ไม่ใช่แค่ขายแล้วจบ เพราะแบรนด์ดังหลายแบรนด์ได้มีกลยุทธ์การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าที่หลากหลาย น่าสนใจ และประสบความสำเร็จอย่างมาก การศึกษาตัวอย่างแบรนด์เหล่านี้ จะช่วยให้เราได้เห็นแนวทางในการสร้างกลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจของเราได้มากยิ่งขึ้น

 

1. McDonald’s

มีการรักษาลูกค้าด้วยรสชาติที่เป็นมาตรฐาน  ราคาที่เข้าถึงง่าย แถมยังสะดวกสบายในการเข้าถึง มีสาขาเยอะ มีไดรฟ์ทรู และยังสั่งออนไลน์/เดลิเวอรี่ได้ง่าย บวกกับโปรโมชั่นต่างๆ ที่น่าสนใจ เป็นแบรนด์ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย  สร้างความรู้สึกผูกพัน ทั้งยังมีเมนูพิเศษ และ Happy Meal ที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้าครอบครัวได้เป็นอย่างดี

 

2. PTT Station

มีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างความผูกพันผ่านบัตร PTT Blue Card ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ในการสะสมคะแนน แลกส่วนลด และเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการขยายธุรกิจไปยังร้านค้าสะดวกซื้อ Cafe Amazon และร้านอาหารต่างๆ ในปั๊ม เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า

 

3. Central Group

มีการใช้กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยระบบสมาชิก The 1 Card เพื่อสะสมคะแนน แลกส่วนลด และรับสิทธิพิเศษต่างๆ ในเครือเซ็นทรัล อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโปรโมชั่นที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง

 

4. SCG

มีการรักษาลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ B2B ด้วยความสัมพันธ์ที่ยาวนาน เน้นในเรื่องของความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ และการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

 

5. Siam Commercial Bank (SCB)

มีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชัน SCB EASY ที่ใช้งานง่าย การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย และการให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ

 

สรุป

การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าไม่ใช่แค่เรื่องของการปิดการขายครั้งเดียว แต่เป็นกลยุทธ์การรักษาลูกค้าระยะยาว ที่ช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ของคุณ เพราะเมื่อลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ซื้อซ้ำ แต่ยังช่วยบอกต่อและแนะนำให้คนรอบตัวมาลองใช้สินค้าหรือบริการของคุณอีกด้วย 

ดังนั้นเราจะต้องเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อซ้ำ รู้จักความต้องการและพฤติกรรมของพวกเขา ใช้ 6 กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เราแนะนำ พร้อมเลือกใช้เครื่องมือที่ช่วยบริหารการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า และเรียนรู้จากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

Share :

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Most Popular

Categories