กลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับ SME เจาะลึกแบบจับมือทำ!
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ สำหรับ SME ไม่ใช่เรื่องของการใช้งบประมาณมหาศาล แต่เป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และวางแผนการตลาดออนไลน์โดยเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างแท้จริง เพื่อเลือกวิธีทำการตลาดออนไลน์ให้สอดคล้องและสร้างโอกาสในการเติบโตสู่เป้าหมายที่ธุรกิจได้ตั้งไว้ เพราะถ้าเรารู้จักใช้กลยุทธ์ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้สูตรลับที่เหล่าดิจิตอลเอเจนซี่เขาใช้กัน ธุรกิจของคุณก็จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
แล้วคุณพร้อมที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดและเติบโตไปพร้อมกันหรือยัง? ถ้าพร้อมแล้ว ตามเราไปอ่านบทความนี้กันต่อได้เลย เราจะมาเผยความลับของเหล่าเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ จัดเต็มกลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ SME ให้แบบหมดเปลือก!!
10 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับ SME (เจาะลึกทุกเทคนิค)
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางธุรกิจ SME ถึงโตไวเกินคาด ในขณะที่บางเจ้าก็ยังวนอยู่กับที่? คำตอบง่ายๆ คือ กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่แตกต่างกัน ถ้าอยากประสบความสำเร็จธุรกิจ SME จำเป็นจะต้องเลือกใช้วิธีทำการตลาดออนไลน์ที่ตอบโจทย์และใช้ได้ผลจริง มาดูกันว่า กลยุทธ์เด็ด ที่ SME ใช้แล้วได้ผลมีอะไรบ้าง!
1. รู้จักกลุ่มเป้าหมาย รู้ลึก รู้จริง รู้ใจลูกค้า
การเข้าใจและรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับ กลุ่มเป้าหมาย เป็นหนึ่งใน กุญแจสำคัญ ที่จะทำให้กลยุทธ์ของธุรกิจประสบความสำเร็จ “เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการตลาดออนไลน์” ที่หากวิเคราะห์ได้ดีจะส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อเนื่องในระยะยาวโดยเราจะเข้าใจว่า “ลูกค้าของเราเป็นใคร” และ “อะไรที่พวกเขาต้องการ” ผ่านการใช้เวลาในการวิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการ และปัญหาของลูกค้า พร้อมกำหนด Persona ที่ชัดเจน
เคล็ดลับทำความรู้จักลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย
- ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, เว็บไซต์, หรือการสำรวจความคิดเห็น เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า
- สร้าง Buyer Persona สร้างตัวแทนจำลองของลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
- เปิดรับ Feedback รับคำติชมจากลูกค้า เพื่อเข้าใจความรู้สึก ความคิดเห็น และความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
- ใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ และแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ เช่น Google Analytics, Facebook Insights หรือเครื่องมือ CRM ต่างๆ เก็บข้อมูลลูกค้าและทำการวิเคราะห์พฤติกรรมได้อย่างแม่นยำ
- แบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อทำการตลาดและวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์แบบเจาะจงให้ตรงกลุ่มมากขึ้น
2. โฟกัสช่องทางที่สร้างผลลัพธ์ได้จริง
แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างในทุกแพลตฟอร์ม SME ควรเลือกช่องทางที่เหมาะสมที่สุด คุ้มค่าที่สุด และได้ผลที่ดีที่สุด เพราะการเลือกใช้ช่องทางการตลาดที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นวิธีทำการตลาดออนไลน์ที่จะทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์
ช่องทางหลักๆ ที่ธุรกิจ SME ควรเลือกโฟกัส
- โซเชียลมีเดีย: โดยเฉพาะ Facebook, Instagram, และ TikTok ที่เข้าถึงลูกค้าในช่วงอายุต่างๆ หรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
- Google Ads: ช่วยเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการที่คล้ายคลึงกับของคุณ
- Email Marketing: สร้างผลลัพธ์ได้ดีมากในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
SEO: ทำให้เว็บติดอันดับการค้นหาของ Google เพิ่มการเข้าถึงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้ลูกค้าเจอธุรกิจง่ายขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายเงินโฆษณา
3. สร้าง Content Marketing ที่มีคุณค่า
“คอนเทนต์คือหัวใจ อย่าเอาแต่ขายของ” การสร้าง Content Marketing ที่มีคุณค่า เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่การผลิตเนื้อหาที่ ตอบโจทย์ และสร้างประโยชน์ ให้กับผู้ชมในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ แบ่งปันเคล็ดลับ หรือสร้างความบันเทิงที่มีคุณค่าและเกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ
โดยเราต้อง “อย่ามุ่งแต่ขายสินค้า” พยายามสร้างคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า เช่น บทความให้ความรู้ วิดีโอสอนใช้สินค้า หรือกรณีศึกษาจากลูกค้าที่เคยใช้บริการของคุณ
ตัวอย่างการสร้าง Content Marketing ที่มีคุณค่า
- สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สามารถนำไปใช้ได้จริงและช่วยแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้
- เล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างแบรนด์และลูกค้า
- สร้างเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ เช่น: บทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก
- โพสต์คอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความสนใจของลูกค้า
- สร้างคอนเทนต์กระตุ้นการมีส่วนร่วม กระตุ้นให้ลูกค้าคิด, แสดงความคิดเห็น หรือแชร์เนื้อหา
- ปรับปรุง พัฒนาคอนเทนต์ตามผลลัพธ์ จากการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics หรือ Facebook Insights
4. SEO และ SEM ก็สำคัญ ทำคู่กันปังกว่า
SEO (Search Engine Optimization) อาจใช้เวลาแต่ให้ผลลัพธ์ระยะยาว ส่วน SEM (Search Engine Marketing) เป็นโฆษณา Google Ads ที่ใช้เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่พร้อมซื้อได้อย่างรวดเร็ว
การใช้ SEO และ SEM ควบคู่กันจึงเป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ทรงพลัง และสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็น และเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าให้กับธุรกิจ SME ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั้งสองมีความแตกต่างกันในการทำงาน แต่เมื่อใช้ร่วมกันจะช่วยให้ผลลัพธ์ได้มากขึ้น!
SEO (Search Engine Optimization)
SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ของเรามีความเหมาะสมและตอบโจทย์กับ Search Engine (ซึ่งในที่นี้ก็คือ Google เนื่องจากเป็น Search Engine ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด) เพื่อให้เว็บไซต์ของเราขึ้นมาในอันดับต้นๆ บนหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหาแบบ Organic เมื่อมีคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ โดยที่เราไม่ต้องเสียค่าโฆษณาให้กับทาง Google เลย
✔ เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์แบบฟรีๆ
✔ สร้างความน่าเชื่อถือ
✔ ให้ผลลัพธ์ระยะยาวและยั่งยืน
SEM (Search Engine Marketing)
SEM คือการใช้โฆษณาบน Search Engine อย่าง Google Ads ที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปแสดงผลบนอันดับต้นๆ ได้ทันทีเมื่อมีคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ โดยที่เราต้องเสียค่าโฆษณาให้กับทาง Google โดยมีการเรียกเก็บเงินแบบการจ่ายเงินต่อคลิก (PPC) หรือ CPC (Cost Per Click)
✔ ผลลัพธ์เร็ว ได้ผลลัพธ์ทันทีหลังจากที่เริ่มทำโฆษณา
✔ ควบคุมงบประมาณและเลือกกลุ่มเป้าหมายได้
✔เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้เร็วและตรงจุด
5. ทำโฆษณาแบบ Personalize เจาะเฉพาะกลุ่ม
เป็นการนำเสนอสินค้า บริการ หรือโปรโมชั่นที่ตรงกับความสนใจและความต้องการของลูกค้าแต่ละรายหรือแต่ละกลุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งแตกต่างจากการทำการตลาดแบบทั่วไปที่ส่งข้อความเดียวกันไปยังกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก
โดยแผนการตลาดออนไลน์แบบนี้ จะต้องมีการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายแยกออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายด้วยการปรับแต่งข้อความและโปรโมชั่นให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดออนไลน์แบบนี้มีประโยชน์คือ
- โฆษณาตรงใจลูกค้า และมีโอกาสที่จะถูกคลิกและนำไปสู่การซื้อมากกว่า
- ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจความต้องการของพวกเขา
- เพิ่มยอดขายและผลตอบแทนได้อย่างคุ้มค่า
- ลดค่าใช้จ่ายได้จากโฆษณาที่ถูกส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
วิธีทำการตลาดออนไลน์แบบ Personalize
Step 1: เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า
- รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น อายุ เพศ ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ
- ใช้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งาน เช่น การค้นหาสินค้าในเว็บไซต์ การคลิกโฆษณาหรือการซื้อสินค้า
Step 2: วิเคราะห์ข้อมูล
- ทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละราย
Step 3: แบ่งกลุ่มลูกค้า
- แบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะที่คล้ายกันเพื่อสร้างแคมเปญที่ตรงกลุ่ม
- แบ่งกลุ่มตามความสนใจ หรือแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมการซื้อ
Step 4: สร้างคอนเทนต์ที่ตรงเป้าหมาย
- สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของแต่ละกลุ่ม
- ใช้ Headline หรือข้อความโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
Step 5: ทดสอบและปรับปรุง
- ทดลองทำแคมเปญต่างๆ และวัดผลลัพธ์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้ดีขึ้น
- ทำ A/B Testing) ให้รู้ว่าโฆษณาแบบไหนที่ได้ผลดีกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์แบบ Personalize
- ใช้ Dynamic Ads แสดงผลเฉพาะสินค้าที่ลูกค้าเคยสนใจหรือเคยดูบนเว็บไซต์ เช่น การใช้ Facebook Dynamic Ads หรือ Google Dynamic Remarketing ที่สามารถแสดงสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าเคยเยี่ยมชมเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง
- เสนอข้อเสนอเฉพาะบุคคล เช่น การเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยซื้อจากร้านหรือเยี่ยมชมสินค้า สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
- ระบบแนะนำสินค้าที่เคยดู สินค้าที่สนใจ หรือสินค้าที่คล้ายกันให้กับลูกค้าแต่ละราย ในแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ
- ส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับโปรโมชั่น หรือสินค้าใหม่ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ผ่านทาง Email / Application ต่างๆ
6. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วย Email Marketing
ใช้ Email Marketing สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เป็นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์โดยใช้ Email เป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งจะไม่ใช่แค่การส่ง Email โปรโมชั่นไปยังลูกค้า แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ สร้างแบรนด์ และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ผ่านการนำเสนอเนื้อหาที่มีค่า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเป็นข้อเสนอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกถึงความพิเศษ
เคล็ดลับวิธีทำการตลาดออนไลน์ด้วย Email Marketing
- ส่ง Email ในเวลาที่เหมาะสม เป็นเวลาที่ลูกค้าส่วนใหญ่อ่านอีเมล
- หลีกเลี่ยงการส่ง Email บ่อยเกินไป (ส่งสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือ 2 ครั้งต่อเดือน)
- ปรับแต่ง Email ให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะ
- ใช้เครื่องมือ เช่น Mailchimp, Constant Contact ช่วยจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล
- ทำ Email ที่มีเนื้อหาหลายรูปแบบ เช่น ภาพ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก รวมถึงการใช้ Storytelling จะช่วยให้ Email มีความสนุกสนานและน่าอ่านมากขึ้น
- ใช้หัวข้อ Email ที่น่าสนใจ เพราะมันคือสิ่งแรกที่ลูกค้าจะเห็น
- ใช้ Email Automation เพื่อประหยัดเวลาและทรัพยากร
- ใน Email ควรมี Call to Action (CTA) ที่ชัดเจน
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ด้วย Email Marketing
- Email ต้อนรับ Welcome ลูกค้าใหม่ พร้อมข้อเสนอพิเศษ
- Email วันเกิด อวยพรวันเกิดพร้อมส่วนลดพิเศษ
- Email เปิดตัวสินค้าใหม่ แนะนำสินค้าใหม่ให้ได้รู้จักก่อนใคร
- Email ย้ำเตือนสิ่งที่กำลังจะเกิด อีเว้นท์ที่กำลังจะจัด
- Email ขอบคุณ หลังจากที่ลูกค้าซื้อสินค้า
- Email ฟื้นฟูความสัมพันธ์ ส่งถึงลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อสินค้ามานาน
- Email ขอความคิดเห็น ขอ Feedback จากลูกค้า
7. ร่วมมือกับ Influencers หรือ KOL ที่ใช่
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่พลาดไม่ได้ก็คือการร่วมมือกับ Influencers หรือ Key Opinion Leaders (KOL) เพราะเป็นการใช้พลังจากคนที่ลูกค้าเชื่อถือ นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการผ่านบุคคลที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้แบรนด์ของคุณได้รับความสนใจจากผู้ติดตามที่มีความสนใจหรือความเชื่อมั่นในตัว Influencers ที่ธุรกิจได้เลือกใช้
ประเภทของ Influencer และ KOL ที่น่าสนใจสำหรับ SME
จุดเด่น | |
Micro-Influencer | มีผู้ติดตามน้อยกว่า 100,000 คน แต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดตามมากกว่า มักจะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ |
Nano-Influencer | มีผู้ติดตามน้อยกว่า 10,000 คน มักเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือมีไลฟ์สไตล์ที่เฉพาะเจาะจง เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ |
KOL เฉพาะด้าน | ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เช่น แพทย์ นักโภชนาการ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เหมาะสำหรับสินค้าหรือบริการที่ต้องการความน่าเชื่อถือ |
เช็กลิสต์ การเลือก Influencers หรือ KOL ที่ตอบโจทย์ SME
✔ มีกลุ่มผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
✔ มีความน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดี
✔ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ติดตาม
✔ มี Engagement Rate สูง
✔ มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
✔ มีสไตล์และตัวตนที่เข้ากับแบรนด์
✔ มีความสามารถในการสร้างเนื้อหาคุณภาพ
✔ มีการเข้าถึงเฉพาะกลุ่ม (Niche)
✔ มีทัศนคติและค่านิยมที่สอดคล้องกับแบรนด์
8. ทดลองแคมเปญเล็กๆ ก่อนลงงบใหญ่
SME ไม่จำเป็นต้องใช้งบเยอะตั้งแต่ต้น ควรเริ่มจากแคมเปญเล็กๆ เพื่อทดสอบ แล้วค่อยเพิ่มงบถ้ามันเวิร์ค หรือก็คือเมื่อเราเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน คุ้มค่า เราจึงขยายการลงทุนในแคมเปญนั้นๆ และต้องอย่าลืมว่าเงินทุกบาทมีค่า ต้องใช้ให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด
การทดลองแคมเปญในขนาดเล็กก่อนที่จะลงทุนในแคมเปญที่ใหญ่ขึ้น เป็นแผนการตลาดออนไลน์ที่ชาญฉลาดสำหรับธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด เพราะการทดลองจะช่วยให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า รวมถึงประสิทธิภาพของช่องทางต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน โดยเราจะต้องกำหนดงบประมาณที่เหมาะสม และตั้ง KPI (Key Performance Indicators) เพื่อตรวจวัดผลลัพธ์ให้ชัดเจน
ข้อดีของการทดลองแคมเปญเล็กๆ ก่อนขยายแคมเปญใหญ่ขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในกรณีที่แคมเปญไม่สำเร็จ
- ช่วยให้เราสามารถปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก่อนที่จะขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น
- ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เช่น ช่องทางใดที่ลูกค้าตอบสนองดีที่สุด เนื้อหาแบบไหนที่น่าสนใจ
- ทำให้เราสามารถทดลองกลยุทธ์ใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในวงกว้าง
เช็กลิสต์ สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อทดลองแคมเปญการตลาด
✔ งบประมาณ
✔ ระยะเวลา
✔ ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน
✔ ความยืดหยุ่น พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
9. Remarketing โอกาสทองที่หลายคนมองข้าม
คุณรู้ไหมว่าลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อทันทีที่เห็นโฆษณาครั้งแรก? Remarketing จะช่วยให้คุณติดตามลูกค้าเก่าที่เคยคลิกดูสินค้าแต่ยังไม่ซื้อ ด้วยข้อเสนอพิเศษที่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้!
Remarketing คือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ โดยจะช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและนำเสนอโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เคยแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชมเว็บไซต์ การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า หรือการดูวิดีโอ
ข้อดีของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์แบบ Remarketing
- ดึงดูดลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ
- เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการ
- สร้างการรับรู้แบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพิ่มการจดจำ และความคุ้นเคยกับแบรนด์
- ทำให้เราสามารถปรับแต่งข้อความโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าได้
- ต้นทุนการโฆษณาต่ำกว่าการทำตลาดกับลูกค้ากลุ่มใหม่
วิธีทำการตลาดออนไลน์แบบ Remarketing
Step 1: ตั้งค่าพิกเซล (Pixel) หรือ แท็กการติดตาม (Tracking Tag)
ใช้ Google Ads หรือ Facebook Ads ในการติดตามผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณและเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งาน
Step 2: กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
กำหนดกลุ่มผู้ใช้ที่มีพฤติกรรมเฉพาะ สร้างกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันตามพฤติกรรมของผู้เข้าชม เช่น ผู้ที่เยี่ยมชมสินค้าแต่ไม่ได้ซื้อ หรือผู้ที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ไม่ได้ทำการชำระเงิน หรือผู้ที่เคยเข้ามาดูวิดีโอ เป็นต้น
Step 3: สร้างโฆษณา/ปรับโฆษณาให้ตอบโจทย์
สร้างโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม โฟกัสไปที่ข้อความโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้เคยดูหรือทำบนเว็บไซต์ของคุณ เช่น สินค้าเดียวกันที่พวกเขาเคยสนใจ
Step 4: เลือกช่องทางในการแสดงผล
เลือกช่องทางในการแสดงโฆษณาให้ตอบโจทย์กับแผนการตลาดออนไลน์ เช่นช่องทาง Google Display Network, Facebook, Instagram, YouTube เป็นต้น
Step 5: ทดสอบ A/B Testing
ทดสอบโฆษณาหรือข้อเสนอหลายรูปแบบ เพื่อดูว่าการโฆษณาแบบใดที่ช่วยเพิ่มอัตรา Conversion ได้มากที่สุด ส่งผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่ามากที่สุด
10. ข้อมูลคือขุมทรัพย์ อย่าลืมวัดผลเพื่อต่อยอดความสำเร็จ
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำการตลาดออนไลน์ของธุรกิจ SME ก็คือ การเก็บข้อมูลต่างๆ และนำมาวิเคราะห์ วัดผล เพื่อนำมาต่อยอดพัฒนาโดยการใช้เครื่องมือวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่าอะไรได้ผลจริง และอะไรควรปรับปรุง เช่น โฆษณาตัวไหนที่ได้ยอดคลิกมากที่สุด หรือเวลาที่เหมาะสมในการโพสต์
ขั้นตอนการทำแคมเปญเพื่อการวัดผลที่ชัดเจน
Step 1: กำหนดเป้าหมายของแคมเปญการตลาด
ก่อนที่เราจะวัดผลแคมเปญต่างๆ ได้ เราจำเป็นจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายของแคมเปญการตลาดต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม หรือสร้างการรับรู้แบรนด์
Step 2: เลือก KPI ที่เหมาะสม
กำหนด KPI ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย อาทิ ยอดขาย (Sales) สำหรับเป้าหมายเชิงการค้า, CTR (Click-Through Rate) สำหรับโฆษณาออนไลน์, Engagement Rate สำหรับการสร้างการรับรู้หรือการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย, ROAS (Return on Ad Spend) เพื่อดูผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา
Step 3: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์
ใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ใช้ Google Analytics: วิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์, ใช้ Meta Business Suite วัดผลโฆษณาและโพสต์บน Facebook/Instagram, ใช้ SEMrush หรือ Ahrefs วัดผลแคมเปญ SEO
Step 4: วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อต่อยอดข้อมูล
แยกแยะข้อมูลเพื่อดูว่าแคมเปญไหนมีผลลัพธ์สูงสุด ลูกค้ากลุ่มใดที่มีการตอบสนองมากที่สุด โฆษณาใดที่มี ROI ต่ำและควรปรับปรุง แล้วใช้ข้อมูลจาก A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์หรือข้อความที่แตกต่างกัน
Step 5: ปรับปรุง พัฒนา และทดลอง
พัฒนากลยุทธ์และแผนการตลาดออนไลน์ โดยการใช้ผลวิเคราะห์เพื่อปรับปรุง ทั้งในส่วนของข้อความโฆษณา, Landing Page, คอนเทนต์, ภาพกราฟิก และอื่นๆ ร่วมกับการทดลองกลยุทธ์ใหม่ ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป
Step 6: ติดตามผลระยะยาว และใช้ข้อมูลเพื่อต่อยอด
ไม่ใช่แค่ดูผลระยะสั้น แต่ควรวัดผลอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแนวโน้มในระยะยาว แล้วจึงนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาสินค้า/บริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น กำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่ให้มีโอกาสแปลงมาเป็นลูกค้ามากขึ้น และวางแผนการตลาดออนไลน์ใหม่ให้ดีกว่าเดิม
แจกเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์สำหรับ SME
รู้จักกับวิธีทำการตลาดออนไลน์สำหรับ SME กันไปแล้ว เราจะมาแนะนำ “ตัวอย่างเครื่องมือการตลาดออนไลน์” ที่จะช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้น ยอดขายพุ่งขึ้น และบริหารธุรกิจ SME ได้อย่างมืออาชีพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเจ้าของกิจการที่อยากอัปเกรดวิธีทำตลาด บอกเลยว่าห้ามพลาด!
ตัวอย่าง Tools | |
เครื่องมือ
จัดการโซเชียลมีเดีย |
– Hootsuite: จัดการหลายบัญชีพร้อมกันและวิเคราะห์ประสิทธิภาพโพสต์
– Buffer: วางแผนคอนเทนต์และตั้งเวลาโพสต์ |
เครื่องมือ
วิเคราะห์ข้อมูล |
– Google Analytics: ตรวจสอบพฤติกรรมผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์
– Facebook Insights: วิเคราะห์การเข้าถึงและประสิทธิภาพโพสต์ – Hotjar: ดูความเคลื่อนไหวของผู้ใช้บนเว็บไซต์ผ่าน Heatmap |
เครื่องมือ
โฆษณาออนไลน์ |
– Google Ads: โฆษณาบนหน้าการค้นหาและเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง – Facebook Ads Manager: โฆษณาบน Facebook และ Instagram – TikTok Ads: โฆษณาบน TikTok เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายยุคใหม่ |
เครื่องมือ
Email Marketing |
– Mailchimp: เหมาะสำหรับ SME ที่เพิ่งเริ่มต้น
– Sendinblue: ฟังก์ชันครบถ้วน พร้อมระบบส่งข้อความ SMS – ConvertKit: ดีไซน์ง่ายๆ เน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า |
เครื่องมือ สร้างเว็บไซต์ |
– WordPress: ปรับแต่งได้หลากหลาย เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท – Wix: ใช้งานง่าย มีเทมเพลตสำเร็จรูป – Shopify: เหมาะสำหรับธุรกิจ E-commerce โดยเฉพาะ |
เครื่องมือ พัฒนา SEO และ SEM |
– Yoast SEO: ปลั๊กอิน WordPress เพื่อช่วยปรับปรุง SEO
– Ahrefs: วิเคราะห์คีย์เวิร์ดและคู่แข่ง – SEMrush: เครื่องมือครบวงจรสำหรับ SEO และโฆษณา – Google Keyword Planner: ช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย |
เครื่องมือ
จัดการลูกค้า CRM |
– HubSpot CRM: ใช้งานฟรี พร้อมฟังก์ชันครบครัน
– Zoho CRM: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก – Salesforce: ระบบที่ครอบคลุมทุกด้านของการจัดการลูกค้า |
เครื่องมือ
สร้างคอนเทนต์ |
– Canva: ออกแบบกราฟิกง่ายๆ สำหรับโพสต์ที่น่าสนใจ
– Adobe Spark: สร้างวิดีโอและภาพประกอบง่ายๆ – Piktochart: ออกแบบอินโฟกราฟิกที่ดึงดูดสายตา |
ข้อควรระวังในการวางแผนการตลาดออนไลน์ SME
จากประสบการณ์ตรงของเราที่ได้รับทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจ SME มากมาย เราขอแนะนำผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ให้ระมัดระวังและคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้
- อย่าคัดลอกคู่แข่ง ต้องสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์
- ไม่ควรเน้นแต่การหาลูกค้าใหม่ ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าด้วย
- อย่าเน้นการขายมากเกินไปโดยไม่สร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค
- อย่า ใช้งบประมาณเกินตัวโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน
- อย่าทำเว็บไซต์ที่ซับซ้อนเกินไป หรือมีเนื้อหาไม่ตอบโจทย์ ไม่น่าสนใจ
- อย่าละเลยอุปกรณ์มือถือ ต้องออกแบบเว็บไซต์และคอนเทนต์แบบ Mobile-Friendly
- ต้องเลือกแพลตฟอร์มให้ดี ศึกษาจุดเด่นของแต่ละแพลตฟอร์ม และเริ่มที่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด
- ต้องมีการวัดผลอยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้น
- ต้องทำการตลาดอย่างสม่ำเสมอ วางแผนแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
ไอเดียตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์จาก SME ที่ประสบความสำเร็จ
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าจะเริ่มวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ยังไงดี เราขอพาทุกคนไปดูไอเดียและวิธีทำการตลาดออนไลน์ของธุรกิจ SME รูปแบบต่างๆ จากธุรกิจเล็กๆ สู่ความสำเร็จระดับประเทศ ด้วยการสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้ SME เติบโตอย่างยั่งยืน
โดยเราจะหยิบยกเอา Case Study ของธุรกิจต่างๆ พร้อมด้วยตัวอย่างแผนการตลาดออนไลน์ที่พวกเขาเลือกใช้ เพื่อให้ทุกคนได้นำไปเป็นไอเดียปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง
1. ร้านขายต้นไม้ในเมือง
ปัญหา
- คู่แข่งในพื้นที่เยอะ และต้องการเพิ่มจำนวคนรู้จักร้าน
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เลือกใช้
- สร้างเพจ Facebook และช่อง YouTube สำหรับแชร์ความรู้เรื่องการดูแลต้นไม้ เช่น “5 ต้นไม้ฟอกอากาศที่ดูแลง่ายที่สุด”
- ทำวิดีโอสั้นบน TikTok สาธิตการปลูกต้นไม้และเทคนิคการแต่งสวน
- ใส่ลิงก์เพื่อการสั่งซื้อต้นไม้แฝงไว้ในโพสต์ทุกครั้ง
2. ร้านเบเกอรี่ออนไลน์
ปัญหา
- ต้องการเพิ่มยอดขายในช่วงที่ยอดขายตก
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เลือกใช้
- จัดแคมเปญ Flash Sale ผ่าน Facebook และ Instagram โดยลดราคาสินค้า 30% เฉพาะช่วงเวลา 2 ชั่วโมง
- ใช้ภาพขนมปังที่น่าทานและคอนเทนต์กระตุ้นความเร่งด่วน เช่น “สินค้าจำนวนจำกัด! รีบสั่งก่อนหมด”
- ส่งข้อความแจ้งเตือนลูกค้าเก่าผ่าน LINE OA
3. ร้านกาแฟเล็กๆ ในชุมชนที่มีร้านคู่แข่งจำนวนมาก
ปัญหา
- ไม่มีลูกค้าเพราะคนในพื้นที่ไม่รู้จักร้าน
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เลือกใช้
- เข้าไปลงทะเบียนกับ Google My Business เพื่อใส่ข้อมูล เช่น เวลาเปิด-ปิด, รีวิวลูกค้า, และภาพบรรยากาศร้าน
- เชิญ Food Blogger / Influencer มาทดลองชิมและรีวิวร้าน ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
- สร้างแคมเปญเล็กๆ เช่น “ถ่ายรูปที่ร้านและโพสต์พร้อมแท็กเรา รับส่วนลด 10%”
4. ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์
ปัญหา
- มีคู่แข่งจำนวนมากในตลาด และยากที่จะสร้างความแตกต่าง
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เลือกใช้
- สร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นในโซเชียล นำเสนอสไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ถ่ายทอดผ่านภาพถ่ายและวิดีโอที่สวยงาม
- ร่วมมือกับ Influencer ในวงการแฟชั่น เพื่อโปรโมตสินค้า
- จัด Live Selling บน Facebook หรือ Instagram เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าจริงและสามารถสอบถามได้ทันที
5. ธุรกิจบริการรับทำความสะอาดบ้าน
ปัญหา
- ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ การหาลูกค้าใหม่ทำได้ยาก
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่เลือกใช้
- ทำ Content Marketing สร้างบทความเกี่ยวกับการทำความสะอาดบ้าน เช่น เคล็ดลับ, ประโยชน์ของการทำความสะอาดบ้าน
- ใช้ Google Ads เพื่อโฆษณาบริการทำความสะอาดในพื้นที่เป้าหมาย
- จัดแคมเปญแนะนำเพื่อนรับส่วนลด เพื่อให้ลูกค้าช่วยโปรโมตธุรกิจ
สรุป
จากการได้ลองผิดลองถูก รับทำการตลาดออนไลน์ และวางแผนการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจ SME ของไทยให้ประสบความสำเร็จมามากมาย ทำให้เราได้รู้ว่าการสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับ SME ที่ได้ผลจริงนั้น ไม่ใช่แค่การเลือกใช้กลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการเข้าใจลูกค้า การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ร่วมกับการวางแผนที่นำเอากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองมาปรับใช้
โดยวิธีทำการตลาดออนไลน์ของ SME ที่ดีจะต้องเน้นไปที่ความคุ้มค่า ง่ายต่อการจัดการ และสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เพราะในยุคนี้ทุกการลงทุนกับแคมเป็นการตลาดทุกครั้งควรกลับมาเป็นยอดขายหรือการเติบโตของแบรนด์ที่จับต้องได้ ดังนั้นการเริ่มต้นที่ชาญฉลาดและใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ คือกุญแจของกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่จะทำให้ SME ก้าวสู่ความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นคง