คิดคอนเทนต์ไม่ออกแก้ได้ ด้วยเทคนิคปลุกไอเดียไม่มีวันตัน

รวมเนื้อหาที่น่าสนใจ

คิดคอนเทนต์ไม่ออกแก้ได้! ด้วย 9 เทคนิคปลุกไอเดียไม่มีวันตัน

 คิดคอนเทนต์ไม่ออก นั่งจ้องหน้าจอมาเป็นชั่วโมงก็ยังไม่มีไอเดียคอนเทนต์ จะให้ใครช่วยคิดคอนเทนต์ก็คงไม่ได้! เรามี 9 เทคนิคปลุกไอเดียที่รวบรวมมาจากประสบการณ์จริงของนักการตลาดออนไลน์ ที่จะช่วยให้คุณคิดคอนเทนต์ได้แบบไม่มีวันตัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีหาไอเดีย หรือเทคนิคกระตุ้นสมองให้แล่นปรื๊ด พร้อมตัวอย่างคอนเทนต์ที่จะช่วยให้การคิดคอนเทนต์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าอยากรู้ว่าเทคนิคเหล่านั้นคืออะไร? ไปอ่านต่อกันเลย!

เผยเหตุผลที่ทำให้ “ไอเดียตัน” คิดคอนเทนต์ไม่ออก

เคยไหม? จู่ๆ ไอเดียคอนเทนต์ดีๆ ก็หายไปไหนหมด หรืออยากจะเริ่มคิดคอนเทนต์ใหม่ๆ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดคอนเทนต์ไม่ออก 

 

จริงๆ แล้วมันมีหลายปัจจัยมากๆ ที่ทำให้ไอเดียตัน บางครั้งก็อาจมาจากความเครียดที่มากเกินไป หรือบางครั้งก็อาจเป็นเพราะเราไม่ได้พักผ่อนสมองให้เพียงพอ และบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ ที่เราคาดไม่ถึง มาดูกันว่าเหตุผลที่ทำให้คิดคอนเทนต์ไม่ออกมีอะไรบ้าง

 

1. ความเครียดและความกดดัน

 

– แรงกดดันจากเวลา: หากมีกำหนดส่งงานที่กระชั้นชิด จะทำให้เราเกิดความกดดัน ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ และการคิดไอเดียคอนเทนต์

– ความคาดหวังสูง: การคาดหวังว่าต้องสร้างคอนเทนต์ที่ “ปัง” หรือ “ไวรัล” และยึดติดกับคำว่า “ต้องสร้างสรรค์” และ “ต้องเพอร์เฟกต์” ทำให้เกิดความเครียดและกังวล ส่งผลให้สมองไม่สามารถคิดและสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ออกมาได้

– ความเหนื่อยล้า: การทำงานหนักเกินไป หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการคิด และก่อให้เกิดความเครียด

 

2. ขาดแรงบันดาลใจและมุมมองใหม่ๆ

 

ความซ้ำซากจำเจ: การทำงานเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่ได้สัมผัสหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้เรามักจะคิดคอนเทนต์ไม่ออกจากการขาดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์

– ขาดการเปิดรับสิ่งใหม่: การไม่ได้อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง หรือติดตามข่าวสารที่หลากหลาย ทำให้มุมมองแคบลง

– อยู่ใน Comfort Zone: การไม่กล้าที่จะทดลองหรือคิดนอกกรอบ ทำให้ไอเดียวนเวียนอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่สร้างสรรค์ ไม่น่าสนใจ

 

3.  ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการคิด

 

– คิดมากเกินไป: การกังวลและคิดถึงรายละเอียดมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถเริ่มต้นหรือต่อยอดไอเดียได้

– ขาดโฟกัส: เมื่อมีหลายสิ่งที่ต้องทำหรือคิดพร้อมๆ กัน จะทำให้สมองสับสนและไม่สามารถจดจ่อกับการคิดคอนเทนต์ได้

– ไม่เข้าใจโจทย์หรือกลุ่มเป้าหมาย: การไม่เข้าใจเป้าหมายของแบรนด์ และสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ จะทำให้ขาดไอเดียคอนเทนต์ที่ดีและคิดคอนเทนต์ได้ไม่ตรงจุด

– ปรับตัวไม่ทันเทรนด์: เมื่อเราตามเทรนด์ไม่ทันหรือไม่เข้าใจเทรนด์ จะทำให้ไม่สามารถคิดสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ทันสมัยได้

 

4. ปัจจัยภายนอก

 

– สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย: หากสถานที่ทำงานเสียงดัง รบกวน หรือไม่สบาย จะทำให้ไม่มีสมาธิจนคิดคอนเทนต์ไม่ออก

– ขาดการสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น: หากไอเดียตันแล้วไม่ได้พูดคุยหรือระดมสมองกับผู้อื่น ก็อาจทำให้ขาดไอเดียและตัวอย่างคอนเทนต์ในมุมมองใหม่ๆ ได้

 

5.  ปัญหาเกี่ยวกับความรู้และข้อมูล

 

– ขาดความรู้ในหัวข้อนั้นๆ: ยิ่งมีความรู้และมีข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อที่อยากทำมากแค่ไหน ก็จะยิ่งทำให้การคิดคอนเทนต์ง่ายยิ่งขึ้น

– ข้อมูลที่มีอยู่ไม่น่าสนใจ: เมื่อข้อมูลที่มีอยู่ซ้ำๆ จำเจ ไม่น่าสนใจ มีข้อมูลน้อย ไม่มากพอ หรือไม่มีอะไรใหม่ๆ จะทำให้ไม่สามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้

 

6.  ปัญหาทางด้านจิตใจ

 

– ความไม่มั่นใจในตัวเอง: หากเรากลัวว่าไอเดียจะไม่ดีหรือไม่ถูกใจ ก็จะทำให้เราไม่กล้าที่จะเสนอไอเดียคอนเทนต์

– ภาวะ Burnout: เมื่อเราหมดไฟในการทำงาน ขาดความกระตือรือร้น จะทำให้การสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ เป็นเรื่องยาก

 

9 เทคนิคปลดล็อกไอเดีย บอกลาปัญหาคิดคอนเทนต์ไม่ออก

เบื่อไหม? ที่ต้องเขียนคอนเทนต์แต่ไอเดียกลับหายไปไหนหมด คิดคอนเทนต์ไม่ออก สมองตัน จนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน พอเจอปัญหาแบบนี้บ่อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเยอะกว่าปกติในการหาไอเดีย คิดเรื่องใหม่ๆ หรือสร้างสรรค์อะไรที่น่าสนใจ 

ความจริงแล้วปัญหานี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะฉะนั้นอย่ากังวลไป เราได้รวม 9 เทคนิคที่จะช่วยคิดคอนเทนต์ และปลดล็อกไอเดียในการคิดคอนเทนต์ใหม่ๆ มาให้ทุกคนแล้ว ไปดูกัน

1. ใช้สูตร “What – Why – How” 

การใช้สูตร “What – Why – How” เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นความคิดและสร้างไอเดียคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการถามตัวเองถึง 3 คำถามหลักอย่าง “อะไร ทำไม และอย่างไร” เพื่อช่วยให้ทิศทางและมุมมองในการสร้างสรรค์งานมีความชัดเจนขึ้น 

 

– What? (อะไร?)

คอนเทนต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร? หัวข้อหลักคืออะไร? คุณต้องการนำเสนออะไร? อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการพูดหรือแสดงออก?

 

– Why? (ทำไม?)

ทำไมคอนเทนต์นี้ถึงสำคัญ? ทำไมกลุ่มเป้าหมายต้องสนใจ? ทำไมผู้คนควรสนใจในเรื่องนี้? ทำไมคุณถึงต้องการสร้างคอนเทนต์นี้?

 

– How? (ทำอย่างไร?)

คุณจะนำเสนอคอนเทนต์นี้อย่างไร? รูปแบบไหน? ช่องทางไหน? จะสื่อสารอย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย? 

2. สำรวจปัญหาของกลุ่มเป้าหมายให้มาก

ใช้โซเชียลมีเดีย รีวิว รวมถึงการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า สังเกตพฤติกรรมออนไลน์ และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อสำรวจปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายพบเจอจริงๆ 

 

– พวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรคอะไรที่สำคัญ?

– อะไรคือความท้าทายที่พวกเขาต้องการหาทางออก?

– พวกเขากำลังมองหาข้อมูลหรือคำแนะนำประเภทไหน?

เนื่องจากการสำรวจปัญหาของกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียดและลึกซึ้ง เป็นวิธีที่ทรงพลังอย่างยิ่งที่จะช่วยคิดคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เพราะคอนเทนต์ที่ดีที่สุดคือคอนเทนต์ที่สามารถตอบสนองความต้องการ แก้ปัญหา หรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับได้อย่างตรงจุด การสำรวจปัญหาให้มากหากไอเดียตัน ก็จะช่วยจุดประกายไอเดียใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี

3. ใช้ Customer Insight เป็นตัวนำ

วิธีปลดล็อกไอเดียเมื่อเราคิดคอนเทนต์ไม่ออกนี้ จะคล้ายๆ กับการสำรวจปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย แต่จะเป็นการใช้เทคนิควิเคราะห์ Customer Insight สร้างคอนเทนต์ที่อิงจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับลูกค้า โดยค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายสนใจอะไร ไม่ใช่แค่ปัญหา แต่รวมถึงความต้องการ ความปรารถนา แรงจูงใจ และมุมมองของพวกเขา โดยรวบรวมข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ก่อนทำคอนเทนต์

4. นำคอนเทนต์เก่ามา Remix

ถ้าไอเดียตัน คิดคอนเทนต์ไม่ออก เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบคอนเทนต์เก่าให้สร้างสรรค์และตามเทรนด์มากขึ้นได้ โดยการนำคอนเทนต์เก่ามา “Remix” หรือปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกไอเดียในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิดไอเดียใหม่ทั้งหมด 

 

วิธีการนำคอนเทนต์เก่ามา Remix

 

– เปลี่ยนรูปแบบ: แปลงบทความ Blog เป็นวิดีโอ, อินโฟกราฟิก, พอดแคสต์, หรือโพสต์โซเชียลมีเดีย

– อัปเดตเนื้อหา: เพิ่มข้อมูลใหม่, สถิติล่าสุด, กรณีศึกษา, หรือความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

– ขยายหัวข้อ: เจาะลึกในรายละเอียดของหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งจากคอนเทนต์เก่า

– ปรับมุมมอง: นำเสนอหัวข้อเดิมในมุมมองใหม่ หรือจากประสบการณ์ที่แตกต่าง

– รวมคอนเทนต์: นำคอนเทนต์เก่าหลายๆ ชิ้นมารวมกันเป็นคอนเทนต์เดียวที่ครอบคลุมมากขึ้น 

– ปรับให้เหมาะกับช่องทาง: ปรับเนื้อหาให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม

– เพิ่มองค์ประกอบใหม่: เพิ่มส่วน Q&A, บทสัมภาษณ์, หรือ User Generated Content

 

ตัวอย่างคอนเทนต์ที่ทำของเก่ามา Remix 

คอนเทนต์เก่าคือ: 

บทความ Blog เรื่อง “5 เคล็ดลับการดูแลรักษารถยนต์ในช่วงฤดูฝน”

 

สามารถ Remix สร้างสรรค์ไอเดียได้เป็น:

– วิดีโอสั้นๆ สาธิตการตรวจสอบรถยนต์ก่อนหน้าฝน
– อินโฟกราฟิกสรุป 5 เคล็ดลับสำคัญ
– โพสต์บนโซเชียลมีเดียพร้อมคำถามกระตุ้นการมีส่วนร่วม
– พอดแคสต์สัมภาษณ์ช่างผู้เชี่ยวชาญเรื่องการดูแลรถยนต์หน้าฝน
– คู่มือ E-book “คู่มือดูแลรถยนต์ตลอดฤดูฝน”

– ความต้องการ: สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ทั้งที่บอกออกมาและไม่บอกออกมา

– ความปรารถนา: สิ่งที่ลูกค้าใฝ่ฝันหรือต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต

– แรงจูงใจ: เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจและการกระทำของลูกค้า

– อุปสรรค: ปัญหา ความท้าทาย หรือความไม่สะดวกที่ลูกค้ากำลังเผชิญ

– ความเชื่อและค่านิยม: สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญและเชื่อมั่น

– มุมมองและทัศนคติ: วิธีที่ลูกค้ามองโลกและสิ่งต่างๆ รอบตัว

 

จากนั้นให้แปลง Insight เป็นไอเดียคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการคิดคอนเทนต์เพื่อตอบสนองความต้องการ, เติมเต็มความปรารถนา สร้างแรงบันดาลใจ ให้ลูกค้าเข้าใกล้เป้าหมายและความใฝ่ฝัน, สร้างคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาที่ลูกค้าเจอ รวมไปจนถึงการสร้างคอนเทนต์ที่สะท้อนค่านิยมและความเชื่อ สอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญและเชื่อมั่น และคอนเทนต์ที่สร้างความเข้าใจ ให้ลูกค้าเข้าใจแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการในมุมมองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

5. ส่องคอนเทนต์จากคู่แข่ง และแบรนด์ดัง

การติดตาม เข้าไปดู และเคราะห์คอนเทนต์จากคู่แข่งและแบรนด์ดัง ไม่ได้หมายถึงการลอกเลียนแบบ แต่เป็นการดูไอเดียคอนเทนต์ เพื่อเรียนรู้จากสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี และหาช่องว่างหรือโอกาสในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่แตกต่างและดีกว่า หรือก็คือการดูว่าอะไรเวิร์ค แล้วนำมาปรับให้เหมาะกับตัวเองผ่านช่องว่างต่างๆ อาทิ

 

– มีหัวข้อใดที่คู่แข่งยังไม่ได้พูดถึง หรือพูดถึงน้อย?

– มีมุมมองใดที่คุณสามารถนำเสนอได้แตกต่างและมีคุณค่ามากกว่า?

– มีรูปแบบคอนเทนต์ใดที่คุณสามารถทดลองใช้และสร้างความแตกต่างได้?

– มีวิธีใดบ้างที่คุณสามารถเพิ่มคุณค่าให้กับคอนเทนต์ในหัวข้อที่คล้ายกัน?

 

แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าถ้าเราคิดคอนเทนต์ไม่ออก แล้วใช้เทคนิคนี้เราจะต้อง ‘อย่าลอกเลียนแบบ’ โดยตรง ให้ใช้ข้อมูลที่ได้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ของเรา และผสมผสานไอเดียจากหลายๆ แหล่ง เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่สดใหม่และน่าสนใจ

6. ดูเทรนด์ & ข่าวสาร เพื่อใช้เทรนด์เป็นตัวช่วย

การติดตามและใช้ประโยชน์จากเทรนด์และข่าวสาร เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยคิดคอนเทนต์ และช่วยเพิ่มไอเดียในการสร้างคอนเทนต์ที่ทันสมัย น่าสนใจ และดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

 

หากเราเจอปัญหาคิดคอนเทนต์ไม่ออกบ่อยๆ เราจะต้องติดตามช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ อาทิ Twitter, TikTok, Instagram, Facebook รวมถึงใช้เครื่องมือ เช่น Google Trends, Exploding Topics และบริโภคคอนเทนต์หลากหลายแนว อ่านบทความ ดูวิดีโอ หรือฟังพอดแคสต์เกี่ยวกับเรื่องที่เราไม่เคยสนใจมาก่อน รวมถึงติดตาม Influencer หรือครีเอเตอร์จากต่างประเทศ เพื่อดูไอเดียที่แตกต่างจากตลาดเดิม นั่นก็เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ให้เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกเทรนด์ที่จะเหมาะสมกับแบรนด์ของเรา เราควรเลือกเทรนด์ที่เหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย อย่าตามกระแสอย่างเดียว พยายามนำเสนอเทรนด์ในมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์และเป็นตัวของตัวเอง รวมถึงจะต้องระมัดระวังในการใช้เทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นละเอียดอ่อนทางสังคมหรือการเมือง

7. ใช้ AI มาช่วยระดมไอเดีย

การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาระดมไอเดียช่วยคิดคอนเทนต์ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีจะทำให้เราคิดคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

เพราะ AI สามารถช่วยเราได้ในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่การหาแรงบันดาลใจเบื้องต้น ไปจนถึงการสร้างสรรค์ไอเดียที่เฉพาะเจาะจง และการออกแบบโครงเรื่อง/โครงร่างของคอนเทนต์ และถึงแม้บางครั้งเราอาจจะไม่ได้นำไอเดียที่ AI แนะนำมาใช้โดยตรง แต่หลายๆ ครั้งเราก็สามารถนำสิ่งที่ AI แนะนำมาประยุกต์และสร้างให้เกิดเป็นไอเดียที่เหมาะสมกับแบรนด์ของเราได้ 

 

อย่างไรก็ตามถ้าเราคิดคอนเทนต์ไม่ออก เราต้องระวัง ‘อย่าพึ่งพา AI มากเกินไป’ จะต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหรือสถิติก่อนนำมาใช้ และสร้างคอนเทนต์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความเป็นตัวของตัวเองและสไตล์ของแบรนด์ และจะต้องปรับแก้คอนเทนต์ให้มีความเป็นธรรมชาติและอ่านได้อย่างลื่นไหล

 

วิธีการใช้ AI มาระดมไอเดียช่วยคิดคอนเทนต์ 

 

  1. เลือกเครื่องมือ AI ที่เหมาะสม: ไม่ว่าจะเป็น

– AI Writing Assistants: เครื่องมือที่ช่วยในการเขียนและสร้างเนื้อหา เช่น Jasper (formerly Jarvis), Copy.ai, Rytr

– AI Idea Generators: เครื่องมือที่เน้นการสร้างไอเดียสำหรับหัวข้อคอนเทนต์ เช่น Hubspot’s Blog Ideas Generator, BuzzSumo’s Content Ideas 

– AI Chatbots: แชทบอทที่สามารถสนทนาและให้ไอเดียตามที่คุณต้องการ เช่น เช่น ChatGPT, Gemini

– AI Social Listening Tools: เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์การสนทนาบนโซเชียลมีเดีย เพื่อหาหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจ

 

  1. ให้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อนเริ่มคิดคอนเทนต์

เมื่อใช้เครื่องมือ AI สิ่งสำคัญคือต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง (ยิ่งให้ข้อมูลที่มากและละเอียดเท่าไหร่ AI ก็จะเข้าใจแบรนด์ของเราและให้ไอเดียคอนเทนต์ที่ตรงใจเรามากขึ้น) โดยให้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้กับ AI 

 

– แบรนด์: อธิบายเกี่ยวกับแบรนด์ ทั้งข้อมูล ค่านิยม และอื่นๆ 

– กลุ่มเป้าหมาย: ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึง ความสนใจ และปัญหาของพวกเขา

– สินค้า/บริการ: สินค้าและบริการทั้งหมดที่มี (หรือที่ต้องการจะคิดคอนเทนต์) โดยบอกรายละเอียด จุดเด่น หรือฟังก์ชันให้ครบถ้วน

 

  1. ตั้งคำถามหรือใช้คำสั่ง (Prompts) ให้ดี แล้วให้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์

หากเราคิดคอนเทนต์ไม่ออกแล้วอยากใช้ AI ช่วย ‘ให้ระบุ Prompts ที่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการให้ได้มากที่สุด’ 

 

ทั้ง ไอเดียเนื้อหาที่อยากได้ เป้าหมายของคอนเทนต์ (เพิ่มการรับรู้, เพิ่มยอดขาย, สร้างการมีส่วนร่วม) รูปแบบคอนเทนต์ว่าเราต้องการไอเดียสำหรับคอนเทนต์ประเภทไหน เช่น บทความบล็อก, โพสต์โซเชียลมีเดีย, วิดีโอ รวมไปจนถึงรายละเอียดต่างๆ อย่าง ความยาว โทนการเล่าเรื่อง เป็นต้น

 

เช่น ช่วยคิดไอเดียคอนเทนต์สำหรับแบรนด์ของเรา โดยเป็นคอนเทนต์ลง Facebook มีเป้าหมายคืออยากเพิ่มการรับรู้ และต้องการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องความยั่งยืน เน้นความสนุกสนาน เข้าถึงคนง่าย 10 คอนเทนต์

 

  1. ปรับปรุงคำถามและคำสั่ง (Prompts) ที่ใช้

ทดลองและปรับปรุง Prompts ที่ใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจ เนื่องจากเครื่องมือ AI แต่ละเครื่องมือมีวิธีการทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เราควรลองใช้เครื่องมือหลายๆ ตัว และปรับปรุง Prompts ที่ใช้ เพื่อให้ได้ไอเดียคอนเทนต์ที่ดีที่สุด

8. ถามความคิดเห็นจากผู้ติดตามหรือลูกค้า

เมื่อคิดคอนเทนต์ไม่ออก วิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ ถามความคิดเห็นจากผู้ติดตามโดยตรง! เพราะกลุ่มเป้าหมายคือคนที่รู้ดีที่สุดว่าพวกเขาสนใจอะไร กำลังเผชิญกับปัญหาอะไร และต้องการให้เรานำเสนอเนื้อหาแบบไหน การขอความคิดเห็นจากผู้ติดตามไม่ได้เป็นแค่การหาหัวข้อใหม่ๆ แต่ยังช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement) และทำให้ผู้ติดตามรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์อีกด้วย โดยเราสามารถหาไอเดียจากการถามความคิดเห็นจากผู้ติดตามได้โดย

 

– โพสต์คำถามแบบตรงๆ เช่น ช่วงนี้คุณมีคำถามอะไรเกี่ยวกับ [หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ] บ้าง? คอมเมนต์มาเลย!

– ใช้ Poll หรือแบบสำรวจ

– อ่านคอมเมนต์และข้อความจากผู้ติดตามเพื่อดูว่ามีคำถามไหนที่ถูกถามบ่อย หรือมีประเด็นไหนที่คนให้ความสนใจ

– ใช้ฟีเจอร์ Q&A บน Instagram Stories 

– ใช้การ LIVE ถาม-ตอบสดๆ

9. ลองทำ Free Writing เขียนแบบไม่ต้องคิด

ปลดล็อกความคิดด้วยการเขียนแบบ Free Writing ที่จะช่วยกระตุ้นสมองให้ไหลลื่นขึ้น โดยการ เขียนอะไรก็ได้ออกมาแบบไม่ต้องหยุด ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องคิดมาก ปลดปล่อยความคิดในหัวออกมาแบบดิบๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักไวยากรณ์ ความสมบูรณ์ของประโยค หรือความไร้สาระของสิ่งที่เขียนออกมา

 

วิธีนี้จะช่วยปลดปล่อยไอเดีย ไม่ต้องกลัวผิด ไม่ต้องกังวลเรื่องความสมบูรณ์แบบ ช่วยลดความกดดัน ช่วยให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดทางความคิดที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะเขียนหรือจดไอเดียที่ดู “ไม่ดี” หรือ “ไม่เข้าท่า” ลดอาการคิดคอนเทนต์ไม่ออกและคิดมากไปจนไม่เริ่ม อีกทั้งยังช่วยดึงเอาไอเดียที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ออกมา ซึ่งอาจทำให้เราได้เจอไอเดียใหม่ที่ไม่คาดคิด เพราะการเขียนไปเรื่อยๆ อาจทำให้เราเชื่อมโยงสิ่งใหม่ๆ จนเกิดเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจขึ้นได้

 

วิธีทำ Free Writing เพื่อหาไอเดียช่วยคิดคอนเทนต์

 

  1. ตั้งเวลาสั้นๆ เช่น 5-10 นาที เพื่อให้สมองโฟกัส (สามารถเพิ่มเวลาได้)
  2. เขียน/พิมพ์อะไรก็ได้ที่คิดออก ไม่ต้องสนใจว่าถูกหรือผิด 
  3. เขียนตลอดเวลา 10-15 นาที อย่าหยุดเขียน/พิมพ์ – แม้แต่ 10 วินาทีก็ห้ามเว้นว่าง
  4. ไม่ต้องย้อนกลับไปแก้ไข ปล่อยให้สมองไหลไปเรื่อยๆ

เคล็ดลับกระตุ้นสมอง เสริมพลังไอเดียคอนเทนต์

สมองตื้อ ตัน คิดคอนเทนต์ไม่ออก ยิ่งพยายามคิดก็ยิ่งว่างเปล่า บางทีปัญหาอาจไม่ใช่ “ไม่มีไอเดีย” แต่เป็นสมองของเราที่กำลังล้า! 

 

นอกจาก 9 เทคนิคปลดล็อกไอเดียที่เราได้แนะนำทุกคนไปแล้ว ถ้าคุณกำลังรู้สึกตื้อๆ คิดงานไม่ออกจากอาการสมองล้า ลองใช้เคล็ดลับปลุกพลังสมองเหล่านี้ ที่จะช่วยให้สมองแล่นปรื๊ดจนคิดคอนเทนต์ได้แบบไหลลื่น ไม่มีวันตันอีกต่อไป

 

– เปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนที่ทำงาน เช่น คาเฟ่ ห้องสมุด หรือ Co-Working Space

– ออกไปเดินเล่น หรือใช้เวลาดูสิ่งรอบตัว เพื่อพักสมอง เพิ่มแรงบันดาลใจ สร้างไอเดียคอนเทนต์

– พักสมอง ทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น ออกกำลังกาย เล่นเกม วาดรูป หรือทำอาหารเพราะไอเดียดีๆ มักมาในเวลาที่เราไม่ได้บังคับตัวเองให้คิด

– ฟังเพลงหรือเสียงธรรมชาติ เพราะดนตรีแนว Lo-Fi, คลาสสิก หรือเสียงธรรมชาติ ช่วยให้สมองผ่อนคลายและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

– พักสายตา 10-15 นาที แล้วกลับมาลุยใหม่ เพราะการจ้องจอนานๆ อาจทำให้สมองล้า

– จัดลำดับความสำคัญ เพราะบางทีที่คิดไม่ออก อาจเพราะเราพยายามคิดทุกอย่างพร้อมกัน ให้ลองลิสต์สิ่งที่ต้องทำ แล้วเลือกโฟกัสทีละจุด

ตัวอย่างไอเดียคอนเทนต์ที่ใช้ได้จริง

ไอเดียคอนเทนต์ที่ดี บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมอง หรือเลือกใช้ “รูปแบบการเล่าเรื่อง” ที่แตกต่างออกไป ก็ช่วยให้คอนเทนต์ของคุณน่าสนใจขึ้นได้ วันนี้เรารวมไอเดียตัวอย่างคอนเทนต์ที่ใช้ได้จริง ไม่ว่าจะทำเพจขายของ สร้างแบรนด์ หรือเพิ่ม Engagement ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้ในการทำคอนเทนต์กันได้เลย

 

1. คอนเทนต์เล่าเรื่อง (Storytelling)

เน้นการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้ชม โดยใช้เรื่องราวที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความรู้สึกร่วม และมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่แบรนด์ทำหรือนำเสนอ โดยการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือสินค้า ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงกับเนื้อหามากขึ้น

 

ตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น เล่าเบื้องหลังธุรกิจ, จุดเริ่มต้น, ปัญหาที่เคยเจอ ประสบการณ์ลูกค้า 

 

2. คอนเทนต์ให้ความรู้ (Educational Content)

​​มุ่งเน้นการให้ข้อมูลหรือความรู้ที่มีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริง ช่วยเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ชม มีเป้าหมายหลักคือการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และแก้ไขปัญหาให้กับผู้ชม ไอเดียคอนเทนต์รูปแบบนี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญให้กับแบรนด์ 

 

ตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น How-to & เคล็ดลับ อย่างวิธีใช้สินค้า, เทคนิคเฉพาะทาง, เคล็ดลับเฉพาะสายงาน

 

3. คอนเทนต์เน้นความไวรัล (Viral Content)

มีเป้าหมายในการสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยความน่าสนใจ ความตลก หรือความแปลกใหม่ ที่ทำให้คนอยากส่งต่อให้ผู้อื่น สามารถแชร์และแพร่กระจายไปยังกลุ่มคนจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจ

 

ตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น เทรนด์ฮิต, มุกตลก, Challenge

 

4. คอนเทนต์กระตุ้นให้มีส่วนร่วม (Engagement Content)

ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เช่น การให้ความคิดเห็น หรือแชร์ประสบการณ์ มีเป้าหมายเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม กระตุ้นให้เกิดการแสดงความคิดเห็น กดไลก์ แชร์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์

 

ตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น โพล, โพสต์ตั้งคำถาม, เกมหรือกิจกรรมให้ร่วมสนุก

 

5. คอนเทนต์รีวิว (Review Content)

เป็นการการสร้างคอนเทนต์ที่รวมรีวิวหรือคำแนะนำสินค้าหรือบริการ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งไอเดียคอนเทนต์รูปแบบนี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

 

ตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น เปรียบเทียบก่อน-หลัง, รีวิวจากผู้ใช้งาน, Case Study, จ้าง Influencer มารีวิว

 

6. คอนเทนต์จัดอันดับ (Ranking Content)

นำเสนอการจัดอันดับในเรื่องที่น่าสนใจ เช่น การจัดอันดับสินค้า หรือการเปรียบเทียบสินค้าหรือบริการต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ชมเปรียบเทียบและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และมักจะได้รับความสนใจสูง

 

เช่น จัดอันดับ (Top 5 / Top 10) สินค้าที่ดีที่สุด, สินค้าขายดี, ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

 

7. คอนเทนต์ คำถามที่พบบ่อย (FAQ Content)

คอนเทนต์ประเภทนี้ช่วยตอบข้อสงสัยที่ลูกค้าหรือผู้ชมมักจะถามเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ เพื่อช่วยให้ข้อมูล ลดข้อสงสัย และลดภาระงานของทีมบริการลูกค้า

ตัวอย่างคอนเทนต์ เช่น คอนเทนต์ตอบข้อสงสัยจากลูกค้า, คอนเทนต์ตอบคำถามที่พบบ่อย

 

สรุป 

การที่เราไอเดียตันและคิดคอนเทนต์ไม่ออก อาจเกิดขึ้นได้จากทั้งปัจจัยทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะแรงกดดันและข้อจำกัดในเรื่องของเราที่ทำให้เรามักจะคิดอะไรไม่ออก สิ่งที่เราต้องทำคือหาวิธีที่จะปลดล็อกความคิดและกระตุ้นสมองให้ทำงานได้อีกครั้งตามเทคนิคและตัวอย่างคอนเทนต์ที่เราได้รวบรวมมาให้ในบทความนี้

เราหวังว่าไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด ครีเอทีฟ ดิจิตอลเอเจนซี่ หรือใครก็ตามที่มักจะคิดคอนเทนต์ไม่ออกและต้องการไอเดียคอนเทนต์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เทคนิคและเคล็ดลับในบทความนี้จะช่วยคิดคอนเทนต์และกระตุ้นไอเดียให้กับคุณได้ในทุกๆ วัน แบบที่ไม่มีวันตันอีกต่อไป!

Share :

Facebook
Twitter
Pinterest
LinkedIn

Most Popular

Categories